ลีกน้องใหม่ แกะกล่อง ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก
ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีกเป็นระบบอุ่นเครื่องของทีมชาติของประเทศที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลยูโรป หรือ ยูฟ่า ที่เพิ่งเริ่มแข่งขันในฤดูกาลนี้ (2018-19) เป็นครั้งแรก โดยมีมติให้จัดขึ้น 2 ปี และ จะมีระบบการคิดคะแนนเข้ารอบ ยูโร 2020 ด้วย แต่ไม่มีผลกระทบในการแข่งขันรอบคัดเลือกยูโร
ทำไมยูฟ่าถึงจัดตั้ง ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีกขึ้นมา?
ยูฟ่าต้องการให้การแข่งขันในรับทีมชาติมีความจริงจังของสนุกสนานขึ้น เนื่องจากในการแข่งขันทีมชาติที่ผ่านๆ มา บางชาติก็แข่งแบบขอไปที ไม่สนใจว่าจะแพ้หรือชนะ เนื่องจากชนะไปก็ไม่ได้อะไร ส่วนทีมใหญ่ๆ ก็ต้องรักษาตัวผู้เล่นสำคัญๆ ในการแข่งขันของสโมสร และ ทีมเล็กๆ ก็จะมีปัญหาในการจัดตารางแข่ง เนื่องจากทีมใหญ่ก็ไม่ได้มองทีมเล็กเป็นคู่แข่ง ส่วนผู้ชมอย่างเราๆ ก็ไม่อยากดูเท่าไหร่ เพราะมันไม่มันส์เลย
หลักการแบ่งกลุ่มใน เนชั่นส์ ลีก
สมาชิกของยูฟ่า มีทั้งหมด 55 ชาติ ยุฟ่าแบ่ง 55 ชาตินี้ออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน คือ ลีก A ลีก B ลีก C และ ลีก D โดยการวัดอันดับจากค่าสัมประสิทธิ์
ลีก A – ชาติที่มีค่าสัมประสิทธ์ตั้งแต่อันดับ 1-12 รวม 12 ทีม
ลีก B – ชาติที่มีค่าสัมประสิทธิ์ตั้งแต่อันกับ 13-24 รวม 12 ทีม
ลีก C – ชาติที่มีค่าสัมประสิทธิ์ตั้งแต่อันกับ 25-39 รวม 15 ทีม
ลีก D – ชาติที่มีค่าสัมประสิทธิ์ตั้งแต่อันกับ 40-55 รวม 16 ทีม
การแบ่งแบบนี้จะทำให้ทีมที่อยู่ในระดับเดียวกันเจอกัน ทำให้เกมส์สนุกขึ้น และ ไม่มีทีมไหนได้เปรียบหรือเสียเปรียบ อ่านมาถึงตอนนี้บางคนอาจจะคิดว่าไม่เห็นซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิดเลย คือ ความซับซ้อนเพิ่งจะเริ่มตอนนี้ เพราะ ในแต่ละลีกจะแบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อยๆ อีก โดยแบ่งโดยการจับฉลาก
ลีก A
กลุ่ม 1 – เยอรมัน, ฝรั่งเศส, ฮอลแลนด์
กลุ่ม 2 – เบลเยี่ยม, สวิตเซอร์แลนด์, ไอซ์แลนด์
กลุ่ม 3 – โปรตุเกส, อิตาลี, โปแลนด์
กลุ่ม 4 – สเปน, อังกฤษ, โครเอเชีย
ลีก B
กลุ่ม 1 – สโลวาเกีย, ยูเครน, เช็ก
กลุ่ม 2 – รัสเซีย, สวีเดน, ตุรกี
กลุ่ม 3 – ออสเตรีย, บอสเนีย, ไอร์แลนด์เหนือ
กลุ่ม 4 – เวลส์, ไอร์แลนด์, เดนมาร์ก
ลีก C
กลุ่ม 1 – สก็อตแลนด์ , อัลเบเนีย, อิสราเอล
กลุ่ม 2 – ฮังการี, กรีซ, ฟินแลนด์, เอสโตเนีย
กลุ่ม 3 – สโลวีเนีย, นอร์เวย์, บัลเกเรีย, ไซปรัส
กลุ่ม 4 – โรมาเนีย, เซอร์เบีย, มอนเตเนโกร, ลิทัวเนีย
ลีก D
กลุ่ม 1 – จอร์เจีย ,ลัตเวีย, คาซัคสถาน, อันดอร์รา
กลุ่ม 2 – เบลารุส, ลักเซมเบิร์ก, มอลโดว่า, ซาน มาริโน่
กลุ่ม 3 – อาเซอร์ไบจาน, หมู่เกาะแฟโร, มอลต้า, โคโซโว
กลุ่ม 4 – มาเซโดเนีย, อาร์เมเนีย, ลิกเทนสไตน์, ยิบรอลตาร์
โอเค ครบแล้วสำหรับ 55 ประเทศ ทีนี้มาดูระบบการแข่งกันบ้าง
ระบบการแข่งขันใน ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก
ซึ่งการแข่งก็เป็นแบบปกติแบบเหย้าเยือนและทุกทีมพบกันหมด ชนะได้ 3 แต้ม เสมอ 1 แพ้ 0 ใครแต้มมากสุดก็เป็นแชมป์กลุ่ม
สำหรับกลุ่ม B C และ D แชมป์กลุ่มในแต่ละกลุ่มจะได้เลื่อนชั้นไปในลีกที่สูงกว่า เช่น แชมป์กลุ่ม D จะได้เลื่อนชั้นไปใน ลีก C ในศึกยูฟ่า เนชั่น ลีก ครั้งหน้า แล้วก็สลับกันทีมที่อยู่ในอันดับสุดท้ายในแต่ละกลุ่ม จะตกชั้นไปสู่ลีกที่ต่ำกว่า ตัวอย่างเช่น บ๊วยของกลุ่ม A จะไปเล่นในลีก B ปีหน้า
สิ่งที่ทำให้ยูฟ่า เนชั่นลีก มีความแปลกกว่าลีกอื่นๆ คือ เฉพาะ ลีกA เท่านั้นที่จะเข้าไปแข่งในรอบรองชนะเลิศ คือ แชมป์กลุ่มลีก A เท่านั้น ซึ่งแชมป์กลุ่มที่มีคะแนนมากที่สดจะได้แข่งกับแชมป์กลุ่มที่มีคะแนนน้อยที่สุด และแชมป์กลุ่มที่มีคะแนนมากเป็นอันดับ 2 จะแข่งกับแชมป์กลุ่มที่มีคะแนนมากเป็นอันดับ 3 การแข่งขันจะเป็นแบบแข่งนัดเดียวจบและใช้สนามของทีมที่มีคะแนนมากกว่า ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 หรือ 6 มิถุนายน ปีหน้า (2019) ผู้ชนะจะเข้าสูรอบชิงชนะเลิศ และ ผู้แพ้ก็จะชิงที่ 3 ต่อไป ซึ่งทั้งสองการแข่งขันนี้จะเกิดขึ้นวันที่ 9 มิถุนายน ปีหน้า
ทีนี้ เราก็จะมาพูดถึงโควต้าเข้าเล่นใน ยูโร 2020 กันบ้าง
โดยปกติแล้วยูโรจะได้ 20 ทีมจากรอบคัดเลือก และยังมีโควต้าอีก 4 ทีม ที่ปกติจะมีการนำทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดในรอบคัดเลือกไปเล่นในเพลย์ออฟ แต่ครั้งนี้จะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว จะใส่โควต้าจากเนชั่นลีกเข้าไปแทน
แชมป์กลุ่มทุกกลุ่มทุกลีก จะต้องมาเพลย์ออฟกัน ซึ่งในแต่ละ ลีก จะมีเพียง 1 โควต้าเท่านั้น ซนึ่งการแข่งรอบเพลย์ออฟนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งถ้าหากทีมตกรอบยูโร แต่เป็นแชมป์กลุ่ม ก็หมายความว่าก็ยังมีลุ้นในรอบเพลย์ออฟที่จะได้เล่นในยูโร 2020
หลายคนถามว่าถ้าหากทีมที่ชนะในรอบเพลย์ออฟ ได้ไปยูโร 2020 อยู่แล้ว จากรอบคัดเลือกแล้ว แล้วยังไงต่อ? คำตอบคือโควต้าจะตกไปอยู่กับทีมอันดับต่อไปในลีก แบบไม่อิงกลุ่มคือเอาทีมที่มีคะแนนมากที่สุดรองลงมาในลีกนั้นๆ