ทำดีแค่ไหนก็ไม่ได้เป็นตัวจริง โอเล่ กุนนาร์ โซลซา
ก่อนฤดูกาล 1996-97 เป็นช่วงที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีมอยู่ ซึ่งเขาต้องการ อลัน เชียเรอร์ จากแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส แต่กลับถูกปฏิเสธ ทำให้ต้องหานักเตะคนใหม่มาแทน ซึ่งเขาก็ไปเจอนักเตะคนหนึ่งจากนอร์เวย์ ก็คือ โอเล่ กุนนาร์ โซลซา เขาทำผลงานได้ดีมากในลีกนอร์เวย์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลยยื่นข้อเสนอให้เขา ด้วยความที่ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุ 23 ปี และเล่นแค่ในลีกนอร์เวย์ เขาต้องไม่ปฏิเสธทีมยักษ์ใหญ่อย่างแมนฯ ยูอยู่แล้ว
วันแรกที่โซลซามาเซ็นสัญญาที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด ไม่มีใครรู้จักเขาเลย แม้แต่สตาฟฟของสโมสรยังนึกว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมสนาม โซลซาก็แบบ เอาชมก็ชม เดินตามไปด้วย สุดท้ายสตาฟฟคนนี้ก็ถามเขาว่ามาทำอะไรที่นี่ เขาเลยบอกว่าก็มาเซ็นสัญญากับแมนฯ ยูไง สตาฟฟคนนั้นเลยยื่นปากกามาให้เขาเซ็นต์แบบงงๆ
หลังจากเซ็นต์สัญญาไปแล้ว เฟอร์กูสัน ก็บอกกับ โซลซาว่า “ใน 6 เดือนแรก นายจะต้องเล่นทีมสำรองก่อน ถ้าหากเล่นได้ดีจะได้ไปเล่นในชุดใหญ่” นั่นทำให้เขามีความหวังและตั้งใจเล่นมาก โซลซาลงเล่นเกมส์สำรองเขาก็ยิงได้ 2 ประตูในนัดแรก ดั้งนั้นเขาเลยได้เลื่อนไปเล่นในชุดใหญ่เลย นัดแรกที่เขาลงเป็นแมทช์ระหว่าง แมนฯยู กับ แบล็คเบิร์น และใน 6 นาทีแรกที่เขาลงไปเล่นในฐานะตัวสำรองเขาก็ทำประตูได้เลย ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเราทำผลงานดี ก็ต้องหวังว่าเจ้านายจะเลื่อนขั้นให้ไปเป็นตัวจริง แต่ในแมทช์ต่อมาเขาก็ยังได้ลงเป็นสำรอง ซึ่งแน่นอนหลายๆ คนคงเข้าใจความรู้สึกนี้ แบบทำดีแล้วไม่มีใครเห็นค่า
ซึ่งก็เหมือนเหมือนตลกร้าย ตลอดการเป็นนักบอลให้แมนเชสเตอร์ 11 ปี ไม่มีซีซั่นไหนเลยที่เขาถูกเลือกให้เป็นกองหน้าเบอร์ 1 ซึ่งความน่ารักของเขาก็อยู่ตรงที่ เขาไม่เคยออกมาตัดพ้อ โวยวาย หรือพาดพิงสโมสรเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนี้ทุกครั้งที่เขามีโอกาสได้ลงไปเล่นเขาก้ทำเต็มที่ทุกๆ วินาที ไม่มีมาแบบงอนแล้ววิ่งเหยาะแหยะ มีอยู่เกมส์หนึ่ง แมนฯยูบุกไปทุบน็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์ (กุมภาพันธ์ 1999) ซึ่งตอนที่เขาลงเล่นนั้น แมนฯยูก็นำอยู่ 4-1 แล้วจิม ไรอัน โค้ชในตอนนั้นบอกกับเขาว่า “นายอย่าทำอะไรโง่ๆ ล่ะ เรากำลังจะชนะ 4-1 แค่เก็บบอลไว้ก็พอแล้ว” สุดท้ายความเต็มที่และความโมโหของเขาก็ทำให้เขาทำประตูได้ ถึง 4 ประตู ในเวลาเพียงแค่ 12 นาที เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ
ถึงจุดๆ นี้ ทุกคนคงจะรู้แล้วล่ะว่าเขาน่ะเป็นตัวจริงได้สบายๆ แต่ทำไม ไม่ได้เป็นตัวจริงสักที และในโลกนี้คงไม่มีใครอยากเป็นตัวสำรองไปตลอด แต่ถ้าดูกันจริงๆ แล้วทั้งหมดนี้อาจจะเป็นวิธีการเรียกสปิริตออกจากตัวโซลซา เพราะเมื่อเขาเป็นตัวสำรองทั้งๆ ที่เขาทำได้ดี เขาก็จะหงุดหงิด แล้วระบายมันออกมาทางการเล่น และทุ่มเทเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเล่นดีขนาดนี้ เป็นตัวสำรองได้ไง ทำให้เขาตั้งใจเล่นมากกว่าคนปกติ จนทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเอาจริงๆ แล้วคนจำเขาได้มากกว่าตัวจริงบางคนเสียอีก ว่าเป็นตัวสำรองที่ทำประตูทุกครั้งที่ลงเล่น
มีอีกเหตุการณ์นึงที่ทำให้แฟนผี จำโอเล่ กุนนาร์ โซลซา คนนี้ได้อย่างแม่นยำ ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกปี 1999 โซลซาลงเล่นช่วยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็กเป็นแชมป์ในปีนั้น จนคนสงสัยว่าเฟอร์กูสันไปพูดอะไรกับเขาก่อนลงหรือเปล่า โซลซาบอกว่า “เขาไม่พูดอะไรกับผมเลย และนั่นทำให้ผลปรี๊ดแตก เพราะ ก่อนหน้าที่ผมจะลง เขาส่งเท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม ลงไปก่อนประมาณ 10 นาที เขาพูดอะไรบางอย่างกับเท็ดดี้นานมาก อย่างกับว่าความหวังทั้งหมดอยู่กับเท็ดดี้ ผมก็แบบ ผมยิงได้ 17 ลูกในซีซั่นนี้ แต่เท็ดดี้ ยิงได้แค่ 4 ลูก ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ” จากนั้นโซลซาก็ลงสนามเพื่อทำสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขาตอนนั้นคือ พิสูจน์ให้เฟอร์กูสันเห็นว่าเขานั้นคิดผิด และเขาก็ทำประตูได้ชนะ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ยุโรปให้ทีมได้สำเร็จ
บางทีการนั่งในเก้าอี้ตัวสำรอง ดูตัวจริงเล่น ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองนั้นดีพอแต่กลับไม่ได้เป็นทำให้เขาได้เรียนรู้บางอย่าง ที่นักเตะคนอื่นๆ ไม่ได้ เขาไม่ได้นั่งและรู้สึกแย่กับตัวเอง เขาสังเกตและอ่านเกมส์ของกองหลังฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ ทำให้เขาทำประตูได้ทุกครั้ง การอ่านเกมส์มาตลอด 11 ปีของเขา ทำให้เขาเป็นกุนซือที่ดีในวันนี้
ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือแผนที่วางไว้แล้วของเฟอร์กูสันหรือเปล่า เพราะ เขาเป็นคนที่มองลูกทีมออกและรู้ว่าจะต้องจัดการยังไง แต่สิ่งที่ทำให้โซลซาเป็นตำนานอย่างทุกวันนี้ก็คือ ความพยายามของตัวเขาเองต่างหาก ลองคิดว่าเขาท้อที่ไม่ได้เป็นตัวจริงและย้ายไปที่อื่น หรือ เล่นแบบช่างหัวมัน วันนี้คุณคงไม่ได้มานั่งอ่านบทความนี้หรอก